วันนี้ (๒๓ เมษายน ๒๕๖๒) เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเรือโท สิทธิพร มาศเกษม ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ ๓ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค ๓ แถลงข่าวความสำเร็จในการเคลื่อนย้ายสิ่งก่อสร้าง Seasteading โดยมีผู้ร่วมการแถลงข่าวประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค ๕ หัวหน้าส่วนราชการในศูนย์อํานวยการรักษาผลประโยชน์ของของชาติทางทะเลภาค ๓ และส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง จากกรณีที่ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลปฏิบัติการเคลื่อนย้ายที่พักอาศัย (Seasteading) ที่ตรวจพบบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะราชาใหญ่ ระยะห่างประมาณ ๑๔ ไมล์ทะเล ซึ่งอยู่ในเขตต่อเนื่องของประเทศไทย ที่ประเทศไทยมีอํานาจสิทธิอธิปไตยในพื้นที่ดังกล่าว ผู้ใดจะมาทําการใดๆ โดยไม่เคารพกฎหมายที่กําหนดไว้ไม่ได้
ทั้งนี้ในปัจจุบันได้ดําเนินการเคลื่อนย้ายสิ่งก่อสร้างดังกล่าวกลับเข้าฝั่งเพื่อใช้เป็นวัตถุพยานในการดําเนินคดีเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา โดยผลสำเร็จจากการปฏิบัติการเกิดจากความร่วมมือร่วมใจบูรณาการในการแก้ไขจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะรองผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล มอบนโยบายให้ทัพเรือภาคที่ ๓ ในฐานะศูนย์อํานวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค ๓ (ศรชล.ภาค ๓) ดําเนินการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน ศรชล.ภาค ๓ รวมทั้งจังหวัดภูเก็ต ในการตรวจสอบสิ่งก่อสร้างดังกล่าว หากตรวจพบให้ดําเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยเด็ดขาด เนื่องจากกรณีดังกล่าวถือว่ามีผลกระทบต่อความมั่นคงและมีการท้าทายอํานาจรัฐที่ยอมไม่ได้เป็นอันขาด ศรชล.ภาค ๓ จึงมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยดําเนินการด้านการข่าว การประสานเครือข่าย การจัดเรือและอากาศยานเข้าทําการตรวจสอบ หลังจากนั้นมีการประชุมหารือร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการด้านกฎหมายในการร้องทุกข์ กล่าวหาในข้อหา กระทําการใดๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อํานาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศหรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๙ และฐานความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องต่อพนักงานสอบสวน สถานีตํารวจภูธรวิชิต อําเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต สำหรับใช้กฎหมายมาเป็นกรอบในการดําเนินการเพื่อไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่อีกต่อไป รวมถึงดำเนินการเคลื่อนย้ายบ้านลอยน้ำดังกล่าว เพื่อป้องกันการส่งผลกระทบต่อการเดินเรือที่อาจทําให้เรือสินค้าหรือเรือลําเลียงน้ำมันที่เดินทางผ่านในพื้นที่เกิดการชนขึ้นและจะส่งผลกระทบต่อการรั่วไหลของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะทําให้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ รวมทั้งจะเป็นอุปสรรคต่อเรือประมงที่ทําการประมงในพื้นที่ โดยอาศัยอํานาจหน้าที่ของ ศรชล.ภาค ๓ ตามพระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.๒๕๖๒ ในมาตราที่ ๓ (๑) มาตรา ๒๕ มาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ และ มาตรา ๓๐ ได้ให้อํานาจหน้าที่ในการกํากับดูแล ป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง จัดการ แก้ไข หรือบรรเทาปัญหา เหตุการณ์ สาธารณภัย หรือการกระทําผิดกฎหมายที่กระทบหรืออาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติทางทะเลหรือกิจกรรมทางทะเล เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้นซึ่งการปฏิบัติผ่านมา ศรชล.ภาค ๓ ได้พยายามติดตามผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายบ้านลอยน้ำกลับเข้าฝั่งเรียบร้อย เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ เวลา ๒๒.๐๐ น. โดยนําไปไว้ที่ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต และจะได้มอบหมายให้สํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาภูเก็ตเป็นผู้ดูแลพยานวัตถุพยานหลักฐานดังกล่าว ทั้งนี้หากผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของจะมาแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของสามารถเข้ามาตรวจสอบและดูสิ่งของที่อยู่ภายในว่ามีครบถ้วนตามที่ตรวจสอบไว้ก่อนมีการเคลื่อนย้าย โดยเจ้าหน้าที่จัดทําบัญชีรายการไว้เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งหากมาแสดงตัวตนเจ้าหน้าที่ทางการไทยจะดําเนินการสอบสวนให้เป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมายต่อไป โดยการดําเนินการคดีเพิ่มเติมในส่วนที่ ศรชล.ภาค ๓ รับผิดชอบนั้น ได้ให้หน่วยงานต่างๆ ใน ศรชล.ภาค ๓ ตรวจสอบและหากพบว่ามีความผิดเพิ่มเติม จะดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวหาต่อไป ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค ๓ กล่าวว่า “การปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้นับว่าทุกภาคส่วนได้ร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มขีดความสามารถไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐหรือสื่อมวลชน เพื่อแสดงออกถึงความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่จะไม่ให้ใครมายํ่ายีหรือรุกรานอธิปไตยของชาติโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ในส่วนที่ ศรชล.ภาค ๓ รับผิดชอบในการดําเนินการด้านกฎหมายที่รับผิดชอบในการแจ้งความร้องทุกข์ ขอยืนยันว่าจะดําเนินการอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับผู้ที่จะใช้ประเทศไทยแสวงหาผลประโยชน์ สําหรับพี่น้องประชาชนนั้นขอให้ช่วยเป็นหูเป็นตาหากพบสิ่งผิดปกติหรือต้องสงสัยที่เกิดขึ้นในทะเลที่จะกระทบต่อความมั่นคง ขอให้แจ้ง ศรชล.ภาค ๓ หรือหน่วยงานใน ศรชล.ภาค ๓ รวมทั้งจังหวัดในพื้นที่ชายฝั่งทะเลได้ตลอดเวลา เพื่อที่หน่วยงานที่เกียวข้องจะได้เข้าไปแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที”
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ ทร. เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ ทร. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้