ค้นหา
ปกติ
ขาวดำ
ดำเหลือง
ขนาดตัวอักษร

กองทัพเรือยิงสลุตหลวงเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔

กองทัพเรือยิงสลุตหลวงเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔

     วันนี้ ( ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔) เวลา ๑๒.๐๐ น. กองทัพเรือ โดย ฐานทัพเรือกรุงเทพ ได้ทำการยิงสลุตหลวง ๒๑ นัด เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ ณ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 
     การยิงสลุต ถือเป็นธรรมเนียมที่ทุกประเทศทั่วโลก ได้ยึดถือสืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณเพื่อเป็นการแสดงความเคารพให้แก่ชาติ หรือธง หรือบุคคล โดยยิงปืนใหญ่ด้วยดินดำ หรือดินไม่มีควัน มีจำนวนนัดเป็นเกณฑ์ตามควรแก่เกียรติ หรือสิ่งที่ควรรับความเคารพ คำว่า “สลุต” นั้นมาจากรากศัพท์ของคำว่า “Salutio” ในภาษาลาติน จุดเริ่มต้นของธรรมเนียมการยิงสลุตเล่ากันว่า ในสมัยโบราณ เรือสินค้าที่ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลในระยะทางไกลจำเป็นที่จะต้องมีปืนใหญ่ไว้คุ้มครองสินค้าบนเรือ และจะต้องมีการบรรจุดินปืนในกระบอกปืนไว้ก่อน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน แต่เมื่อเรือได้เดินทางไปถึงท่าเรือของประเทศที่เรือลำดังกล่าวต้องเข้าไปทำการค้าด้วย จึงต้องยิงปืนใหญ่ที่บรรจุแต่ดินปืนออกไปให้หมด เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่ามาอย่างมิตร มิใช่ศัตรู ตั้งแต่นั้นมาจึงได้เกิดเป็นประเพณีการยิงสลุตขึ้น เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อกันระหว่างเจ้าบ้านและผู้มาเยือนอันเป็นประเพณีที่ชาวเรือได้สืบทอดกันต่อมาจวบจนปัจจุบันแรกเริ่มประเพณีการยิงสลุตได้กำหนดตัวเลขการยิงเอาไว้ที่จำนวน ๗ นัด ซึ่งในขณะนั้นทางทวีปยุโรปถือว่าเป็นเลขมงคล เพราะเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกใน ๗ วัน หรือเหตุผลอีกกระแสหนึ่งที่ว่าบนเรือรบแต่ละลำมีปืนใหญ่ลำละ ๗ กระบอก จึงต้องยิงให้เคลียร์หมดทุกกระบอก ๆ ละ ๑ นัด และยังมีธรรมเนียมต่อไปอีกว่า เมื่อเรือสินค้าได้ยิงให้แก่ชาติเจ้าของท่าจำนวน ๗ นัดแล้ว ทางป้อมปืนใหญ่ของชาติเจ้าของท่าจึงต้องยิงตอบออกมาเป็นจำนวน ๓ เท่า ซึ่งก็คือ ๒๑ นัด ในเวลาต่อมาได้มีการทำความตกลงกันใหม่ว่า ควรให้ทั้งสองฝ่ายยิงในจำนวน ๒๑ นัดเท่า ๆ กัน โดยอังกฤษเป็นชาติแรกในการวางกฎระเบียบการยิงสลุต ๒๑ นัด และได้ถือเป็นกติกาสากลสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
     สำหรับในประเทศไทยมีการยิงสลุตครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีในบันทึกของจดหมายเหตุฝรั่งเศสกล่าวถึงเรือรบฝรั่งเศสชื่อ เลอโวตูร์ ที่ได้เดินทางเข้ามาถึงป้อมวิไชยเยนทร์ (ป้อมวิไชยประสิทธิ์ กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม ในปัจจุบัน) มองซิเออร์คอนูแอล กัปตันเรือได้มีใบบอกเข้าไปถามทางราชสำนักอยุธยาว่า จะขอยิงสลุตให้เป็นเกียรติแก่ชาติสยาม ทางราชสำนักจะขัดข้องหรือไม่ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงรับสั่งให้ออกพระศักดิ์สงคราม (มองซิเออร์คอม เดอร์ ฟอร์แบงก์ นายทหารชาวฝรั่งเศส) ผู้รักษาป้อมในขณะนั้น อนุญาตให้ฝรั่งเศสยิงสลุตได้ จึงอาจกล่าวได้ว่าป้อมวิไชยประสิทธิ์ หรือป้อมวิไชยเยนทร์ในขณะนั้น เป็นสถานที่ ที่เกิดการยิงสลุต ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
     ต่อมาเมื่อสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์แล้ว ในรัชสมัยของ สมเด็จพระเพทราชา ทรงไม่โปรดปรานฝรั่งเศส จึงทำให้ธรรมเนียมการยิงสลุตได้ถูกยกเลิกไป ธรรมเนียมการยิงสลุตได้เริ่มกลับมารื้อฟื้นขึ้นอีกครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวที่ต้อนรับ เซอร์จอห์น เบาวริ่ง ราชทูตอังกฤษ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๙๘ ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๔๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการตราข้อบังคับว่าด้วยการยิงสลุต ร.ศ.125 แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ การยิงสลุตหลวง และการยิงสลุตเป็นเกียรติแก่ข้าราชการ 
     ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตราพระราชกำหนดการยิงสลุตขึ้นใหม่ คือ การยิงสลุต ร.ศ.131 (พุทธศักราช ๒๔๕๕) กำหนดให้มีจำนวนปืนไม่ต่ำกว่า ๔ กระบอก แบ่งประเภทการยิงสลุตไว้ ๓ ประเภท คือ ๑. สลุตหลวง แบ่งเป็น ๒ ชนิด คือ สลุตหลวงธรรมดา มีจำนวน ๒๑ นัด และสลุตหลวงพิเศษ มีจำนวน ๑๐๑ นัด 2. สลุตข้าราชการ 3. สลุตนานาชาติ
พระราชกำหนดยิงสลุต ร.ศ.131 ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อ พุทธศักราช ๒๔๘๓ จนกระทั่งเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง ทางราชการจึงรื้อฟื้นประเพณียิงสลุตขึ้นมาใหม่ เริ่มเป็นครั้งแรกในวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๑ เนื่องในพระราชพิธีวันเฉลิมพระชนมพรรษาของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยกำหนดข้อบังคับไว้โดยสรุปดังนี้ กำหนดให้มีจำนวนปืนไม่ต่ำกว่า ๔ กระบอก มีขนาดลำกล้องไม่เกิน ๑๒๐ มิลลิเมตร ห้ามยิงตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ตกไปแล้วจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น แบ่งประเภทการยิงสลุตไว้ ๓ ประเภท เช่นเดียวกับพระราชกำหนดยิงสลุต ร.ศ.131 ส่วนหลักเกณฑ์การยิงสลุตในปัจจุบัน หากเป็นงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา งานพระราชพิธีฉัตรมงคล หรือวันพระราชสมภพสมเด็จพระบรมราชินีหรือสมเด็จพระยุพราช รวมถึงงานต้อนรับพระมหากษัตริย์ หรือประมุขแห่งรัฐ ยิงสลุต จำนวน ๒๑ นัด ถ้าเป็นระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ที่เป็นทหาร) ผู้บัญชาการทหารเรือ จอมพลเรือ และเอกอัครราชทูต ยิงสลุต ๑๙ นัด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ที่เป็นพลเรือน) พลเรือเอก และเอกอัครราชทูตพิเศษ ยิงสลุต ๑๗ นัด พลเรือโท และอัครราชทูต ยิงสลุต ๑๕ นัด พลเรือตรี และราชทูต ยิงสลุต ๑๓ นัด (สามเหล่าทัพยศเท่ากันยิงสลุตเท่ากัน) อุปทูตยิงสลุต ๑๑ นัด กงสุลใหญ่ ยิงสลุต ๙ นัด
 
  
 
  
 
  
 
  
 

บทความที่เกี่ยวข้อง

แบบสำรวจ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ ทร. เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ ทร. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้