พลเรือตรี ชัยณรงค์ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการฐานทัพเรือกรุงเทพ เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงนำประเทศไทยพ้นภัยจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก พร้อมทั้งคล้องปากกระบอกปืนเสือหมอบ เพื่อเป็นการสดุดีวีรชนในวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ณ ป้อมพระจุลจอมเกล้า ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔
เหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ตรงกับปีพุทธศักราช ๒๔๓๖ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยในช่วงนั้นชาติตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลสำคัญทางแถบเอเชีย โดยจุดประสงค์ที่สำคัญก็คือการแสวงหาอาณานิคมประเทศต่าง ๆ เช่น ญวน เขมร ลาว ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ส่วนพม่าและมลายูตกเป็นอาณานิคม ของอังกฤษ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไว้เป็นอย่างดี จึงได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สร้างป้อมพระจุลจอมเกล้าบริเวณปากร่องน้ำเจ้าพระยา ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ และได้จัดซื้ออาวุธปืนทันสมัยเรียกว่า ปืนเสือหมอบ จากประเทศอังกฤษจำนวน ๑๐ กระบอก เพื่อติดตั้งที่ป้อมพระจุลจอมเกล้าและที่ป้อมผีเสื้อสมุทร ในอดีตถือได้ว่าเป็นป้อมปราการที่มีความสำคัญและทันสมัยในการป้องกันอริราชศัตรูที่รุกล้ำดินแดนจากทางทะเลเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นปราการด่านหน้าสำหรับการป้องกันประเทศ
การยุทธ์ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาหรือวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๒ เกิดขึ้น ในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๓๖ เมื่อเรือรบฝรั่งเศสประกอบด้วยเรือแองคองสตังค์ และ เรือโคแมต ได้รุกล้ำผ่านสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามา ขณะที่ฝ่ายไทยมีเรือมกุฎราชกุมาร เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ เรือนฤเบนทร์บุตรี เรือหาญหักศัตรู และเรือทูลกระหม่อม จอดระวังเหตุการณ์อยู่ที่แนวป้องกัน พร้อมทั้งมีทหารประจำการอยู่ที่ป้อมพระจุลจอมเกล้าและป้อมผีเสื้อสมุทร แม้ว่าผู้แทนฝ่ายไทยได้ขึ้นไปเจรจากับผู้บังคับการเรือรบฝรั่งเศส แต่ก็ไร้ผล เรือรบฝรั่งเศสยังคงแล่นผ่านสันดอนปากแม่น้ำเข้ามา จึงเกิดการยิงต่อสู้กันระหว่างปืนเสือหมอบที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า กับปืนใหญ่จากเรือรบของฝรั่งเศส และการสู้รบระหว่างเรือรบฝรั่งเศสกับเรือรบฝ่ายไทย แต่ในที่สุด ด้วยกำลังแสนยานุภาพที่แตกต่างกันอย่างมาก เรือรบฝรั่งเศสทั้งสองลำก็สามารถตีฝ่าแนวป้องกันของไทยเข้าไปจอดทอดสมอที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส สมทบกับเรือลูแตงที่จอดสมออยู่ ที่สถานทูตของฝรั่งเศสอยู่ก่อนแล้วได้สำเร็จ ผลจากการสู้รบครั้งนั้นทำให้ทหารไทยเสียชีวิต ๘ นาย และบาดเจ็บอีก ๔๑ นาย ส่วนทหารฝรั่งเศสเสียชีวิต ๓ นาย และบาดเจ็ด ๓ นาย จากผลของวิกฤตการณ์ในครั้งนั้นทำให้ประเทศสยามต้องเสียเงิน ค่าปฏิกรรมสงคราม จำนวน ๓ ล้านฟรังก์ กับต้องสูญเสียดินแดนไปถึง ๑ ใน ๓ ของผืนแผ่นดินสยามทั้งหมด ดังนี้ ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง (ประเทศลาว) ๑๔๓,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง (เมืองมโนไพร จำปาศักดิ์ อาณาจักรล้านช้าง) ๖๒,๕๐๐ ตารางกิโลเมตร และมณฑลบูรพา (พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ) เนื้อที่ ๕๑,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ไปเป็นอาณานาคมของฝรั่งเศส เพื่อรักษาความเป็นเอกราชของชาติไทยไว้
เหตุการณ์ในครั้งนั้น ยังความโทมนัสและเสียพระราชหฤทัยแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพิจารณา เห็นว่าการว่าจ้างชาวต่างประเทศเป็นผู้บังคับการเรือและป้อมนั้น ไม่เป็นหลักประกันพอที่จะรักษาประเทศได้ สมควรที่จะต้องบำรุงกำลังทหารเรือไว้ป้องกันภัยด้านทะเลและต้องใช้คนไทยทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศทั้งหมด และการที่จะให้คนไทยทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศได้นั้นต้องมีการศึกษาฝึกหัดเป็นอย่างดีจึงจะใช้การได้ จึงทรงส่งพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ออกไปศึกษาวิชาการ ทั้งในด้านการปกครอง การทหารบก ทหารเรือ และอื่น ๆ ในทวีปยุโรป รวมทั้งได้ทำการฝึกนายทหารเรือไทย เพื่อปฏิบัติงานแทนชาวต่างประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้กิจการทหารเรือมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศตราบจนปัจจุบัน
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ ทร. เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ ทร. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้