ค้นหา
ปกติ
ขาวดำ
ดำเหลือง
ขนาดตัวอักษร

โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ชี้แจงกรณีภาพยนตร์ เรื่อง Seaspiracy ทางช่อง NETFLIX บางตอนพาดพิงประเทศไทยในเรื่องการทำประมงผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์ในเรือประมง

โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ชี้แจงกรณีภาพยนตร์ เรื่อง Seaspiracy ทางช่อง NETFLIX บางตอนพาดพิงประเทศไทยในเรื่องการทำประมงผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์ในเรือประมง

พลเรือตรี ปกครอง  มนธาตุผลิน โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล(ศรชล.) ชี้แจงกรณีภาพยนตร์ เรื่อง Seaspiracy ทางช่อง NETFLIX บางตอนพาดพิงประเทศไทยในเรื่องการทำประมงผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์ในเรือประมงทำให้เสียภาพลักษณ์ประเทศไทย ศรชล. ขอชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ภาพยนตร์ ภาพยนตร์ดังกล่าวเริ่มออกอากาศเมื่อ 24 มีนาคม 2564 โดยมี ผู้อำรวยการผลิต คือ นาย Kip Andersen ผู้กำกับภาพยนตร์ คือ นาย Ali Tabrizi และ ผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ คือ น.ส.Lucy Tabrizi (นามสกุลเดิม Manning) 
เรื่องย่อ (Synopsis): 
ช่วงเวลา 1:06:00 - 1:12:00 เป็นการนำเสนอเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตกับลูกเรือประมง ซึ่งเชื่อว่ามีอยู่จนถึงปี พ.ศ.2558 โดยมีสาระสำคัญของปัญหา ประกอบด้วย ปัญหาแรก การทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ทั้งในน่านน้ำไทยและในทะเลหลวง โดยใช้เรือไทย และในน่านน้ำประเทศใกล้เคียงโดยใช้เรือที่โอนทะเบียนไปชักธงรัฐนั้น ๆ และปัญหาที่สอง การค้ามนุษย์หรือการบังคับใช้แรงงานบนเรือประมง ที่ทำประมงในน่านน้ำดังกล่าวข้างต้น 
สถานะปัจจุบัน 
หลังประเทศไทยทุ่มเทแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 จนสำเร็จในปี พ.ศ.2562 ใช้เวลา 4 ปีครึ่ง ซึ่งมีจุดบ่งชี้ที่สำคัญ คือ ไทยพ้นจากใบเหลือง IUU ขั้นเลวร้าย มาเป็นใบเขียว คือ ปกติ และพ้นจากบัญชีค้ามนุษย์ขั้นเลวร้ายมาอยู่ใน Tier-2 ต้องแต่ปี พ.ศ. 2562 
คำชี้แจงของประเทศไทย 
๑)  ประเทศไทยยินดีอย่างยิ่งที่มีการตรวจสอบทุกแง่มุม เพื่อสนับสนุนหลักการด้านความโปร่งใส 
๒)  ประเทศไทยยึดถือและมุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อความยั่งยืนของทะเล และทรัพยากรประมง 
๓)  ประเทศไทยจะไม่อดทนต่อการค้ามนุษย์ในภาคประมงอีกต่อไป 
๔)  ประเทศไทยมิได้ดำเนินการแก้ปัญหาโดยลำพัง แต่มีหุ้นส่วนที่ร่วมทำงานแก้ปัญหาทุกมิติ และในทุกพื้นที่ที่มีปัญหามาตลอดเวลา และมุ่งมั่นจะดำรงความโปร่งใสและชัดเจนตลอดการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนต่อไป 
การตระหนักถึงปัญหา 
สัญญาณด้านลบที่ได้รับ 2 ด้านที่สำคัญ ในปี 2558 ประกอบด้วย ด้านแรก สหภาพยุโรป จัดไทยขึ้นบัญชี IUU-ใบเหลือง และสหรัฐฯ จัดไทยขึ้นบัญชีค้ามนุษย์ Tier-3 การนี้ ไทยมิใช่เพียงตระหนักถึงปัญหาหนักเฉพาะหน้า แต่ยังยึดถือความยั่งยืนของท้องทะเล ทรัพยากรประมง และของแรงงานประมงเป็นสำคัญ 
กลไกความพยายามระดับชาติ 
รัฐบาล คสช. ในขณะนั้น จึงทำการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยจัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) มาขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปการประมง ตามแผนบริหารจัดการประมงแห่งชาติเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรประมงทะเลที่มีการกำกับและตรวจสอบโดยคณะตรวจสอบของกรรมาธิการทะเลแห่งรัฐสภาสหภาพยุโรป และแผนป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์แห่งชาติ มีการติดตามความก้าวหน้าโดยฝ่ายสหรัฐฯ ตลอดช่วงการแก้ไขปัญหา 
นโยบายหลัก 
ศปมผ. ทำงานตามเป้าหมายเชิงนโยบาย 6 ด้าน คือ (1) การปฏิรูปกฎหมาย (2) การจัดการกองเรือ (3) การติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (4) การบังคับใช้กฎหมาย (5) การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในภาคประมง และ (6) การแสวงหาหุ้นส่วน ทั้งนี้ การขับเคลื่อนนโยบายหลักเหล่านี้ดำเนินการอย่างมีลำดับขั้นตอนเพื่อให้ได้ผลทุกประเด็น 
การนำไปสู่การปฏิบัติ 
การชี้นำของผู้นำทางการเมือง ครอบคลุมทั้งด้านการประมงและการค้ามนุษย์ มีความจริงจัง ต่อเนื่อง ตลอดเวลา จนถึงวันที่บรรลุเป้าหมาย การสนับสนุนทางการเงินและการจัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่อง ทั้งการแก้ปัญหาประมงในน่านน้ำ และการช่วยเหลือลูกเรือที่เป็นเหยื่อนอกน่านน้ำ ในระดับปฏิบัติการมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้การนำของ ศรชล. ได้แก่ กองทัพเรือ กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมการจัดหางาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมเป็น “ชุดสหวิชาชีพ” ทั้งเพื่อการตรวจเรือหน้าท่า และการปูพรมตรวจแรงงานในสถานประกอบการแปรรูปสัตว์น้ำ และกิจการต่อเนื่องอาหารทะเล (ยุบเลิกเมื่อตรวจเสร็จตามเป้า) 
กิจกรรมสำคัญ 
ตราพระราชกำหนดการประมง ปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมาย และการค้ามนุษย์ในเรือประมงทั้งในและนอกน่านน้ำอย่างเฉียบขาด มีรายงานผลคดีทุกปี จัดระบบข้อมูลและทะเบียนเรือประมงทั้งประเทศ เพื่อควบคุมอุตสาหกรรมประมงทั้งระบบให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมถึงการนำแนวทางการออกใบอนุญาตทำการประมงให้สอดคล้องกับขีดความสามารถในการทำการประมง และปริมาณผลผลิตสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน โดยใช้ค่าผลผลิตสูงสุดที่ยั่งยืน (Maximum Sustainable Yield : MSY) และจัดตั้งศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้าออก (PIPO) ในทุกจังหวัดชายทะเล เพื่อควบคุมการเข้าออกท่าเทียบเรือประมง มีการใช้ระบบประเมินความเสี่ยงร่วม (Common Risk Assessment : CRA) ในการควบคุมการทำการประมงด้วย และจัดตั้งศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือประมงเข้าออก (Port In – Port Out Controlling Centre: PIPO) ครบทุกจังหวัดชายทะเลเพื่อกำกับการเข้าออก 
ให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 (C188) และจัดระเบียบและจัดระบบลูกเรือประมง ทั้งด้านการอนุญาต การจ้างงาน การคุ้มครองแรงงาน และการตรวจตราการเข้า-ออกกับเรือในการทำประมง เก็บอัตลักษณ์บุคคลเป็นชุดข้อมูลไบโอเมตริก โดย จนท. ที่เกี่ยวข้องตรวจยืนยันบุคคลได้ผ่านฐานข้อมูลดิจิตอล การช่วยเหลือลูกเรือประมงไทยในต่างแดนจากทุกภูมิภาค การตรวจประเมินมาตรฐานการปฏิบัติงานของศูนย์ PIPO อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง 
ผลการดำเนินงาน 
การแก้ไขปัญหาอย่างเอาจริงเอาจังสามารถจัดระบบให้เรือประมงและแรงงานประมงทะเลมีระบบกำกับดูแลและตรวจสอบอย่างต่อเนื่องได้เรียบร้อยใน ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมีตัวชี้วัดสำคัญ คือ สหภาพยุโรปปลดประเทศไทยจากบัญชีใบเหลือง ในต้นปี 2562 และสหรัฐฯ จัดไทยในบัญชีการค้ามนุษย์ดีขึ้นจาก Tier-3 ในปี 2559 เป็น Tier-2.5 และ Tier- 2 ตามลำดับ ในปี 2562 
การสิ้นสุดภารกิจ 
รัฐบาล โดย ครม. มีมติเห็นชอบตามที่ ทร. เสนอเมื่อ 8 ตุลาคม พ.ศ.2562 ให้ถ่ายโอนภารกิจจาก ศปมผ. ไปยังหน่วยงานตามพันธกิจ เพื่อปฏิบัติการรักษากฎหมายต่อไป 
การรับผิดชอบอย่างยั่งยืน 
ปัจจุบัน ศรชล. หรือ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เป็นหน่วยที่รับผิดชอบในการเป็นแม่งานต่อไป โดย ศรชล. และหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินงานด้วยระบบตรวจสอบ และเฝ้าระวัง การประมงพาณิชย์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อประกันความยั่งยืนของทะเล และการคุ้มครองแรงงานประมงตามแนวทางของสหประชาชาติต่อไป
 
  
 

บทความที่เกี่ยวข้อง

แบบสำรวจ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ ทร. เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ ทร. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้